เมืองลอสแอนเจลิสในยามค่ำคืนเหมือนสิ่งมีชีวิตที่หายใจด้วยไฟนีออน แสงแดงและม่วงกะพริบสะท้อนบนถนนเปียกฝน กลิ่นควันรถผสมกับกลิ่นเลือดที่ผู้คนไม่รู้ว่ามันลอยอยู่รอบตัวตั้งแต่เริ่ม พระจันทร์คืนนั้นเต็มดวงแต่ถูกเมฆบดบังราวกับไม่อยากเห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เสียงบรรยายจากใครบางคนแผ่วเบาเหนือเงามืดของเมือง “โลกแบ่งออกเป็นสอง” เขากล่าว “โลกที่ส่องสว่าง และโลกที่ซ่อนอยู่ในความมืด” เสียงนั้นบรรยายถึงข้อตกลงที่เคยมีมาอย่างยาวนานระหว่างสองเผ่าพันธุ์ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอีกชนิดที่อยู่คู่เงาของเราเสมอมา พวกเขาอาศัยอยู่ท่ามกลางเรา แต่อยู่ใต้กฎเหล็กสามข้อที่ไม่อาจละเมิด หนึ่ง ห้ามให้มนุษย์รู้ว่าพวกเขามีอยู่จริง สอง ห้ามดูดเลือดจากผู้ที่ไม่เต็มใจ และสาม ห้ามเข้าไปในเขต Boyle Heights โดยไม่ได้รับอนุญาต กฎเหล่านี้ค้ำจุนความสงบที่เปราะบางมานานจนผู้คนหลงลืมว่าความมืดยังหายใจอยู่
แต่ทุกความสมดุลย่อมสั่นคลอนเมื่อเลือดหยดแรกตกสู่พื้น ถนนมืดในเขตต้องห้ามกลายเป็นสถานที่เกิดเหตุของการละเมิดครั้งร้ายแรง ศพชายคนหนึ่งนอนจมเลือดตรงทางแยก ป้าย “Welcome to Boyle Heights” สะท้อนแสงแดงเหมือนเปื้อนเลือด และจากจุดนั้นคืนทั้งคืนเริ่มคลายเกลียวเหมือนวงล้อแห่งโชคชะตาที่หมุนย้อนกลับไม่ได้อีก ในอีกมุมหนึ่งของเมือง เด็กหนุ่มชื่อ เบนนี่ ใช้ชีวิตในโลกที่ตรงข้ามกับสิ่งนั้นโดยสิ้นเชิง เขาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีสอง เรียนด้านดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ เป็นคนเงียบ เรียบง่าย และฝันอยากเป็นดีเจ เขาใช้เวลาอยู่กับเครื่องมิกซ์เสียงและหูฟังมากกว่าผู้คน เขาไม่ชอบออกไปเที่ยวกลางคืน ไม่ดื่ม ไม่สูบ และคิดว่าชีวิตในยามค่ำคืนเป็นเพียงฉากหลังของเมืองที่ควรหลับใหล แต่โชคชะตาเลือกคนที่ไม่เคยพร้อมที่สุดเสมอ
เจย์ พี่ชายต่างพ่อของเขา กลับตรงข้ามกับเบนนี่แทบทุกอย่าง ชายหนุ่มผู้มีรอยสักเต็มแขน ใบหน้าเข้ม ตาคม และเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นบางจุดที่ไม่มีใครรู้ที่มา เขาทำงานให้กับคนบางกลุ่มในย่าน Boyle Heights ทำหน้าที่ขับรถ รับส่งของ และบางครั้งก็ต้องใช้กำลังเพื่อรักษาความสงบในเขตนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องไม่ได้แน่นแฟ้นนัก เบนนี่รักเจย์ แต่ก็รู้ดีว่าพี่ชายมีเรื่องที่ไม่ควรถามถึง คืนนั้นเองที่ทุกอย่างเริ่มต้น เมื่อเบนนี่กลับถึงบ้านหลังเลิกเรียน เขาพบเจย์กำลังเก็บของอย่างเร่งรีบ โทรศัพท์สั่นไม่หยุด ใบหน้าเคร่งเครียดราวกับกำลังจะเข้าสู่สนามรบ “คืนนี้กูต้องออกไปเคลียร์เรื่องสำคัญ” เจย์พูด “แต่กูมีงานขับรถที่รับไว้แล้ว ลูกค้ารายดีด้วย” เขาหันมามองเบนนี่ “เอ็งอยากหาเงินใช่ไหม ลองขับแทนพี่สักคืนมั้ย งานง่าย ๆ แค่รับส่งลูกค้าตามลิสต์ ขับรถดี ๆ แล้วอย่าถามอะไรเยอะ”
เบนนี่ลังเลแต่สุดท้ายก็ตอบตกลง เพราะคิดว่าแค่ขับรถไม่กี่ชั่วโมงได้เงินหลายร้อยเหรียญคงไม่มีอะไรยาก เขาไม่รู้เลยว่าคืนนั้นจะกลายเป็นคืนที่ยาวนานที่สุดในชีวิต เวลาสามทุ่ม รถลิมูซีนสีดำเงาวับมาหยุดหน้าบ้าน เขาแต่งตัวเรียบร้อย สูทดำ ผูกไทด์เรียบ เปิดประตูหลังให้ลูกค้า—สองสาวที่เหมือนหลุดออกมาจากโลกอีกใบ โซอี้ และ แบลร์ สองหญิงสาวในชุดราตรีสีเข้ม คนหนึ่งเร่าร้อนดั่งไฟ อีกคนเยือกเย็นราวจันทร์ โซอี้มีดวงตาสีเทาแวววาวเหมือนกระจกที่สะท้อนทุกความลับ ขณะที่แบลร์มีรอยยิ้มอ่อนโยนปนเศร้า ทำให้เบนนี่รู้สึกเหมือนกำลังเจอกับบางสิ่งที่ทั้งดึงดูดและอันตรายในเวลาเดียวกัน
พวกเธอบอกปลายทางแรก เบนนี่ขับออกไปในถนนที่เริ่มโล่ง ลอสแอนเจลิสตอนกลางคืนสวยจนเกินจริง แสงไฟไหลผ่านกระจกเหมือนสายเลือดสีม่วงแดง เขาพยายามเริ่มบทสนทนาแต่โซอี้เพียงมองเขาผ่านกระจกหน้า “แค่ขับไปเงียบ ๆ ก็พอ” เธอกล่าวเสียงเรียบ ในขณะที่แบลร์กลับพูดขึ้นเบา ๆ “อย่าถือสาเธอเลย คืนนี้เรามีงานยาว” เบนนี่ไม่รู้ว่างานของพวกเธอคืออะไร เขาแค่ทำหน้าที่คนขับที่ดี จนเมื่อถึงจุดหมายแรก คลับใต้ดินชื่อ House of Mirrors ด้านในเต็มไปด้วยเสียงดนตรีแรงจนพื้นสั่น โซอี้กับแบลร์ลงจากรถ หายเข้าไปในแสงกระพริบของคลับ ทิ้งเขาให้นั่งรอในรถท่ามกลางความเงียบ เขามองนาฬิกา รอเกือบชั่วโมง ก่อนเสียงกรีดร้องดังลอดออกมาจากประตูด้านใน
สัญชาตญาณบางอย่างทำให้เขาลงจากรถ เดินเข้าไปในความมืด ภาพที่เห็นทำให้เลือดในกายแข็งตัว โซอี้กำลังจับชายคนหนึ่งไว้กับกำแพง ขณะที่แบลร์ก้มลงกัดเข้าที่ลำคอ เลือดไหลช้า ๆ ลงสู่พื้นราวกับหมึกสีดำใต้ไฟนีออน เบนนี่ถอยหลัง หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก เขาพยายามหายใจแต่ไม่สำเร็จ ทั้งสองสาวหันมามองเขาพร้อมกัน ดวงตาเรืองแสงวาบ แดงเข้มเหมือนผลึกไฟ เขาวิ่งกลับมาที่รถ แต่ไม่ทันได้กดล็อก โซอี้เปิดประตูเข้ามานั่งข้างหลังราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ขับต่อสิ เรามีอีกหลายที่ต้องไป” เธอกล่าวเสียงเรียบ เบนนี่สั่น เขาพยายามพูดไม่ออก “พวกคุณ พวกคุณคือ ” แบลร์เอื้อมมือแตะไหล่เขาเบา ๆ “ไม่ต้องพูดอะไร แค่ขับรถไปตามทางที่บอก แล้วทุกอย่างจะจบลงคืนนี้”
ระหว่างทาง เบนนี่เริ่มเข้าใจว่าทั้งสองสาวกำลังทำอะไร พวกเธอกำลัง “ล่าคืนสุดท้าย” คืนที่เหล่าแวมไพร์วางแผนจะทำลายข้อตกลงเก่าที่กักขังพวกเขาไว้ พวกเธอคือผู้ส่งสารของสงครามออกไปฆ่าผู้นำมนุษย์ในแต่ละเขต เพื่อเปิดทางให้เผ่าพันธุ์ของตนกลับมาปกครองกลางคืนอีกครั้ง แต่สิ่งที่ซับซ้อนคือ เจย์ พี่ชายของเบนนี่ คือหนึ่งในคนสำคัญของกลุ่มที่ต่อต้านแวมไพร์ และเป็นเป้าหมายลำดับสุดท้ายของโซอี้กับแบลร์ เมื่อรู้เช่นนั้น เบนนี่เริ่มต่อสู้กับความกลัว เขารู้ว่าถ้าไม่หนีตอนนี้ พี่ชายอาจตาย และตัวเขาเองคงไม่รอด เขาจึงพยายามหาทางหลบหนี ขับรถพุ่งออกจากเส้นทาง แต่โซอี้รู้ทัน เธอหัวเราะในลำคอ “เด็กดี คิดจะเล่นเกมนี้เหรอ” รถหมุนคว้าง ชนขอบทาง เสียงยางเสียดถนนดังลั่นเบนนี่สะลึมสะลือ เขาเห็นแบลร์มองมาด้วยแววตาเจ็บปวด “หยุดเถอะโซอี้ เขาไม่เกี่ยว” เธอพูด แต่โซอี้ตอบกลับอย่างเย็นชา “ทุกคนที่เห็นเลือดต้องเลือกข้างเสมอ”
ในเวลาต่อมา รถแล่นต่อไปสู่จุดหมายถัดไป เบนนี่เงียบ แต่แอบสังเกตเห็นบางอย่าง แบลร์ไม่เหมือนแวมไพร์ที่เขาคิด เธอมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ในดวงตา บางครั้งเธอเผลอมองท้องฟ้าเหมือนคนที่คิดถึงอดีตที่สูญหายไป ในจังหวะหนึ่งที่โซอี้ลงจากรถ เบนนี่ถาม “เธอเคยอยากกลับมาเป็นมนุษย์ไหม” แบลร์นิ่งไปนาน “มนุษย์ก็เหมือนเราแหละ แค่ต้องการมีชีวิตที่เลือกเองได้ แต่เราไม่เคยได้เลือกเลยตั้งแต่เริ่ม”คืนนั้นผ่านไปด้วยเสียงไซเรน ห่ากระสุน และแสงไฟของเฮลิคอปเตอร์เหนือหัว เหล่ากลุ่มต่อต้านแวมไพร์เริ่มเคลื่อนไหว ขณะที่แวมไพร์อีกฝั่งประกาศเปิดสงครามกลางเมือง เบนนี่ถูกดึงเข้าสู่โลกใต้ดินของลอสแอนเจลิสที่เต็มไปด้วยเงาและเลือด เขาเริ่มเข้าใจว่ากฎทั้งสามข้อไม่ได้มีไว้เพื่อปกป้องมนุษย์เท่านั้น แต่มันคือกรงที่คุมทั้งสองเผ่าพันธุ์ไว้ด้วยกัน
เมื่อถึงสถานที่สุดท้ายคฤหาสน์ร้างบนเนินที่มองเห็นทั้งเมือง โซอี้เดินลงจากรถพร้อมประกาศว่า “คืนนี้คือคืนสุดท้ายของมนุษย์ที่คิดว่าตัวเองควบคุมความมืดได้” เธอหยิบมีดสั้นออกมา ก่อนหันไปบอกแบลร์ “ไปสิ จบมันให้เสร็จ” แต่แบลร์กลับยืนนิ่ง เธอหันมามองเบนนี่แล้วพูดว่า “ฉันเบื่อเลือดแล้ว” โซอี้มองด้วยความผิดหวัง “เธออ่อนแอเสมอแบลร์ เพราะเธอยังเชื่อว่าความรักช่วยอะไรได้” คำพูดนั้นเหมือนมีดที่ฟันกลางหัวใจทั้งคู่ เบนนี่คว้าโอกาสนั้นขับรถชนเข้าไป โซอี้กระเด็นล้มลงกับพื้น ก่อนลุกขึ้นมาอีกครั้งด้วยสายตาแค้น เธอกระโจนเข้ามา เบนนี่แทบไม่ทันเห็นร่างนั้น แบลร์เข้าขวางไว้ เสียงกรีดร้องดังขึ้นท่ามกลางแสงฟ้าแลบที่ผ่ากลางเมือง
เมื่อทุกอย่างสงบลง โซอี้หายไป เหลือเพียงแบลร์ที่บาดเจ็บสาหัส นอนพิงรถที่พังครึ่งคัน เบนนี่เข้าประคองเธอ “ทำไมต้องช่วยผม” เขาถาม แบลร์ยิ้มจาง ๆ “เพราะนายทำให้ฉันจำได้ว่าฉันเคยมีหัวใจ” เธอหลับตา แสงแรกของรุ่งสางเริ่มลอดผ่านเมฆ แสงนั้นส่องต้องผิวของแบลร์ เธอค่อย ๆ กลายเป็นเถ้าขาวละเอียดลอยไปกับลม เหลือเพียงสร้อยเงินเส้นเล็กตกอยู่บนมือของเบนนี่ หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ลอสแอนเจลิสกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ข่าวรายงานเพียงว่าเกิด “เหตุระเบิดในคลับใต้ดิน” ไม่มีใครพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ และเหมือนโลกจะลืมว่ามีสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้น เบนนี่กลับไปใช้ชีวิตปกติ แต่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ในค่ำคืนหนึ่ง เขานั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เปิดเพลงใหม่ที่ตนแต่งขึ้น เสียงบีทอิเล็กทรอนิกส์ผสมเสียงพึมพำคล้ายเสียงลมหายใจของรัตติกาล เขาหยิบสร้อยเส้นนั้นขึ้นมามอง มันยังคงเย็นเฉียบเหมือนคืนที่ไม่จบสิ้น ในกระจกข้างหน้า เขาเห็นเงาของตัวเอง กับรอยแผลเล็ก ๆ ที่คอ ซึ่งไม่เคยหายไป ไฟนีออนสะท้อนบนใบหน้าของเขา รอยยิ้มบางเกิดขึ้นขณะเสียงพากย์แรกกลับมาอีกครั้ง “ไม่มีใครอยู่ได้โดยไม่แตะต้องความมืดหรอก เพราะสุดท้าย ความมืดอยู่ในตัวเราทุกคน”เสียงเพลงดังขึ้นช้า ๆ เบนนี่หันไปมองท้องฟ้ายามค่ำที่กลับกลืนสีเลือดของแสงนีออน เขาปิดตา สูดลมหายใจ และปล่อยให้เมืองทั้งเมืองกลืนเขาเข้าสู่อ้อมแขนของรัตติกาลอย่างเต็มใจ
รูปแบบสไตล์หนังเรื่อง เขี้ยวราตรี
สไตล์หนังเรื่อง เขี้ยวราตรี จะเน้นความเป็น Neo-Noir Vampire Film เต็มตัว ถ่ายทอดความสัมพันธ์ระหว่าง “คนที่อยากเข้าใจความมืด” กับ “สิ่งมีชีวิตที่อยากกลับสู่แสง” ภาพจะเต็มไปด้วยโทนสีเลือด–ม่วง–ฟ้า แสงไฟสะท้อนจากพื้นเปียกและกระจกทุกบาน ดนตรีใช้ Synthwave / Electronic Bass เป็นหลัก สร้างอารมณ์เย้ายวนแต่โดดเดี่ยว หนังจะไม่เน้นแอ็กชันอย่างเดียว แต่เน้น “ความเปลี่ยว” ของชีวิตกลางคืนในเมืองใหญ่ ที่มนุษย์และแวมไพร์ต่างหลงทางในความปรารถนาเดียวกัน การได้รู้สึกมีชีวิต
สรุปรีวิวหนัง เขี้ยวราตรี
เขี้ยวราตรี ภาพยนตร์แวมไพร์สไตล์ Neo-Noir Thriller ที่พาผู้ชมเข้าสู่โลกกลางคืนของลอสแอนเจลิส ซึ่งเต็มไปด้วยแสงนีออน สีเลือด และความลึกลับเหนือธรรมชาติ เรื่องราวเล่าผ่านตัวละครหลัก เบนนี่ เด็กมหาวิทยาลัยสายเนิร์ดที่เพิ่งเข้ามาเกี่ยวพันกับแวมไพร์สองสาว โซอี้และแบลร์ ซึ่งงานง่าย ๆ ของการขับรถแทนพี่ชาย กลายเป็นการเผชิญหน้ากับความลับและความรุนแรงของโลกใต้ดินที่เขาไม่เคยรู้





