เบบี้ ไดรฟ์เวอร์ จี้ เบบี้ ปล้น

รีวิว เบบี้ ไดรฟ์เวอร์ จี้ เบบี้ ปล้น

เบบี้ ไดรฟ์เวอร์ จี้ เบบี้ ปล้น เปิดฉากด้วยเสียงเพลง “Bellbottoms” ของวง Jon Spencer Blues Explosion ที่ดังขึ้นพร้อมกับการขับรถไล่ล่าครั้งแรกของเรื่อง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในฉากเปิดที่ทรงพลังที่สุดในยุคหลังปี 2010 ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงฉากแอ็กชัน แต่คือ “การแสดง” ที่ออกแบบด้วยจังหวะดนตรีจนทุกเสียง ทุกล้อ ทุกสายตาเคลื่อนไหวพร้อมกันราวกับออร์เคสตร้าขนาดใหญ่

ตัวละครหลัก “Baby (Ansel Elgort)” คือคนขับรถหนุ่มที่มีพรสวรรค์แต่ก็มีบาดแผลในชีวิต เขาเป็นเด็กที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในวัยเยาว์ ทำให้สูญเสียพ่อแม่และกลายเป็นคนมีปัญหาการได้ยิน (ภาวะ tinnitus หรือเสียงดังในหูตลอดเวลา) เพื่อกลบเสียงรบกวนในหัว เขาจึงเลือก “ฟังเพลง” อยู่ตลอดเวลา หูฟังและ iPod กลายเป็นเครื่องช่วยชีวิต และดนตรีกลายเป็นทั้งยาแก้ปวดและพวงมาลัยที่ควบคุมทิศทางชีวิตของเขา ในโลกของ Baby เสียงดนตรีไม่ใช่เพียงแบ็กกราวด์ แต่มันคือ “จังหวะการมีอยู่” ทุกการเคลื่อนไหวของเขา ไม่ว่าจะเป็นการขับรถหลบตำรวจ การเดินในถนน การชงกาแฟ หรือแม้แต่การปล้นธนาคาร ล้วนถูกกำหนดด้วยจังหวะเพลงที่เขาเลือกเปิดในแต่ละภารกิจ

Baby ทำงานให้กับ “Doc (Kevin Spacey)” หัวหน้าแก๊งอาชญากรผู้มากประสบการณ์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นสมองของทุกแผนปล้น Doc ค้นพบความสามารถของ Baby จากเหตุการณ์ในอดีต และบังคับให้เขาทำงานขับรถให้แก๊งเพื่อชดใช้หนี้สินบางอย่างที่ Baby ก่อไว้ Baby จึงต้องอยู่ในวงจรแห่งอาชญากรรมที่เขาไม่ได้เลือกเอง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะ Doc มีอิทธิพลและอำนาจเหนือชีวิตเขา เขาเป็นเพียงฟันเฟืองเล็ก ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยเสียงเพลง แต่ต้องพาอาชญากรที่มีความรุนแรงอย่าง Buddy (Jon Hamm), Darling (Eiza González) และ Bats (Jamie Foxx) หนีตำรวจในทุกภารกิจ

ฉากปล้นแต่ละครั้งของ Wright ถูกออกแบบให้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งที่คงอยู่คือ “ดนตรี” ที่เป็นตัวกำหนดโครงสร้างของฉากทั้งหมด บางครั้งเพลงจะเริ่มก่อนเหตุการณ์ปล้น และบางครั้งเสียงปืนจะดังในจังหวะเดียวกับเสียงกลอง ทุกอย่างถูกตัดต่อให้ตรงจังหวะราวกับมิวสิกวิดีโอระดับมหากาพย์ ความสัมพันธ์ระหว่าง Baby กับ Deborah (Lily James) พนักงานเสิร์ฟสาวในร้านอาหารคือจุดพักของเรื่อง ราวกับการแทรกบทเพลงบัลลาดลงในอัลบั้มร็อกที่เต็มไปด้วยเสียงระเบิด ทั้งสองต่างมี “เสียง” ในชีวิตของตัวเอง Deborah ฝันถึงการขับรถไปไกลแสนไกลโดยมีเสียงเพลงเป็นเพื่อน ส่วน Baby ก็ใฝ่ฝันถึงชีวิตที่หลุดพ้นจากเสียงไซเรนและเสียงปืน

แต่ความฝันย่อมไม่ง่าย เมื่อภารกิจปล้นครั้งสุดท้ายที่ควรเป็น “งานสุดท้าย” กลับกลายเป็น “งานหายนะ” เพราะ Bats ซึ่งมีนิสัยรุนแรงและไร้เหตุผล ก่อเรื่องจนทุกอย่างพังพินาศ Baby ถูกบีบให้ขับรถฝ่าความตายและการทรยศของทุกฝ่าย ในขณะที่ Doc เองก็เริ่มลังเลว่าเขาควรปล่อย Baby ไปหรือใช้เขาเป็นเครื่องมืออีกครั้ง ฉากไคลแม็กซ์ในลานจอดรถคือการรวมทุกองค์ประกอบของหนังไว้ในหนึ่งเดียว ความเร็ว ความรัก ความรุนแรง และจังหวะเสียงเครื่องยนต์ที่ประสานกับเสียงกลอง เพลงสุดท้ายที่ Baby เปิดก่อนหนี คือเสียงที่ประกาศอิสรภาพจากพันธะทุกอย่าง แม้จะต้องแลกมาด้วยการถูกจับในท้ายที่สุด

Baby คือภาพแทนของคนรุ่นใหม่ที่หลบหนีความจริงด้วย “เสียงเพลง” เขาใช้ดนตรีเป็นเกราะป้องกันอารมณ์ ใช้บีตเป็นที่พึ่งจากโลกที่โหดร้าย แต่ในขณะเดียวกัน ดนตรีก็เป็นโซ่ตรวนที่พันธนาการเขาไว้กับความทรงจำในอดีต เพลงที่เปิดซ้ำ ๆ คือเสียงสะท้อนจากความทรงจำของพ่อแม่ที่เคยร้องเพลงให้เขาฟัง ในแง่จิตวิทยา Baby เป็นตัวละครที่แสดงถึง “การควบคุม” และ “การสูญเสียการควบคุม” พร้อมกัน เขาควบคุมรถได้ดีกว่าทุกคน แต่ไม่สามารถควบคุมชีวิตตัวเองได้ เขาเป็นอัจฉริยะในโลกของเครื่องยนต์ แต่กลับเป็นเด็กหลงทางในโลกของมนุษย์

ส่วน Doc คือภาพแทนของ “ระบอบอำนาจ” ที่เห็นค่าของคนเพียงในฐานะเครื่องมือ เขามีท่าทีเยือกเย็น ฉลาด และชัดเจนในเกมของเขา แต่เมื่อถึงตอนท้าย เราจะเห็นรอยร้าวในบุคลิกนั้น Wright ทำให้ Doc กลายเป็นตัวละครที่มีชั้นเชิงมากกว่าผู้ร้ายทั่วไป เขาเป็นทั้งผู้ควบคุมจังหวะ และเป็นคนที่ในที่สุดก็ยอมปล่อยให้เพลงสุดท้ายของ Baby ดังขึ้น Deborah ในทางตรงข้ามคือ “ความเงียบ” ของหนัง เธอไม่ได้อยู่ในโลกของเสียงปืนหรือเสียงเครื่องยนต์ แต่เธอคือเสียงของหัวใจและความหวังในชีวิตที่เรียบง่าย ทุกครั้งที่ Baby อยู่กับเธอ เสียงดนตรีในหูของเขาจะลดลงราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังกลับสู่ความเงียบงัน

รูปแบบสไตล์หนังเรื่อง เบบี้ ไดรฟ์เวอร์ จี้ เบบี้ ปล้น

สไตล์หนังเรื่อง เบบี้ ไดรฟ์เวอร์ จี้ เบบี้ ปล้น ไม่ใช่การใส่เพลงเพื่อเพิ่มความเท่ แต่คือการทำให้ดนตรีเป็นโครงสร้างของเรื่องทั้งหมด เขาเปลี่ยนเพลงให้เป็นบทพูด เปลี่ยนเสียงให้เป็นอารมณ์ และเปลี่ยนความเงียบให้กลายเป็นเครื่องหมายของความเปลี่ยนแปลงในใจตัวละคร โดดเด่นด้วย “การออกแบบจังหวะภาพ” (rhythmic visual design) ตั้งแต่ผลงานก่อนหน้าอย่าง Shaun of the Dead หรือ Scott Pilgrim vs. The World แต่ใน Baby Driver เขาก้าวไปอีกขั้น ด้วยการทำให้ทั้งหนังคือ “มิวสิกวิดีโอที่มีโครงเรื่องสมบูรณ์” “การตัดต่อที่ฟังได้” (audible editing) ทุกภาพ ทุกการเคลื่อนไหวของกล้อง และแม้แต่เสียงกดปุ่ม ถูกวางให้ตรงกับจังหวะของเพลง นี่คือเทคนิคที่ต้องใช้ความแม่นยำในระดับมิลลิวินาที

สรุปรีวิว ดริฟท์ติ้ง เบบี้ ไดรฟ์เวอร์ จี้ เบบี้ ปล้น

เบบี้ ไดรฟ์เวอร์ จี้ เบบี้ ปล้น ภาพยนตร์ที่อยู่ระหว่างเส้นแบ่งของ “ศิลปะ” และ “ความบันเทิง” อย่างสมบูรณ์ มันทั้งเท่ สนุก มีจังหวะเร้าใจ แต่ก็เต็มไปด้วยการออกแบบเชิงสัญลักษณ์และการทดลองทางโสตทัศน์ที่ลึกซึ้ง Edgar Wright ใช้ภาษาภาพยนตร์ในระดับที่เปลี่ยน “เสียงเพลง” ให้เป็นเครื่องมือเล่าเรื่องหลัก เขาสร้างโลกที่ทุกอย่างหมุนไปพร้อมกันเหมือนเพลงที่เล่นในหัวของ Baby โลกที่ความรัก ความรุนแรง และความฝันล้วนมีจังหวะของตัวเอง ในตอนท้ายเมื่อ Baby สูญเสียทุกอย่างและต้องเผชิญกับความเงียบ เขากลับได้ยินเสียงจริงของโลกอีกครั้ง เสียงของ Deborah เสียงของอิสรภาพ และเสียงของชีวิตที่ไม่ต้องขึ้นอยู่กับบีตของใครอีก